Malignant ชั่วโคตรร้าย

ในบรรดาหนังที่เข้าฉายในปีนี้มีหนังที่เจมส์ วานเกี่ยวข้องฉายแล้วถึง 2 เรื่องได้แก่ ‘The Conjuring : The Devil Made Me Do It’ ในฐานะโปรดิวเซอร์และคนสร้างสรรค์เรื่องราวและผลงานล่าสุดต้อนรับโรงหนังเปิดทำการอย่าง ‘Malignant’ เรื่องนี้ก็มีชื่อของวานเป็นตัวเรียกแขกในเครคิตผู้กำกับ มันเลยกลายเป็นผลงานที่ได้รับการคาดหวังอย่างสูงลิ่วโดยเฉพาะสถานะเจ้าพ่อหนังผีบล็อกบัสเตอร์อย่างเขา หนังเปิดเรื่องที่สถานพยาบาลเพื่อการวิจัยซีเมียน (Simion Research Hospital) ที่นั่นเราได้พบกับดร. ฟลอเรนซ์ วีฟเวอร์ (รับบทโดยแจคเกอลีน แม็คเคนซี Jacqueline McKenzie) กำลังจะทำการผ่าตัดคนไข้โดยเธอเรียกเขาว่า แกเบรียลหลังเกิดความผิดพลาดขึ้นเมื่อพลังของมันทำให้แกเบรียลหลุดจากการควบคุมและไล่ฆ่าเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลจนดร.วีฟเวอร์ต้องใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดเพื่อกำจัดภัยร้ายที่มีพลังจิตและความอำมหิตเป็นต้นทุน หนังตัดไปให้เราทำความรู้จักกับ แมดดิสัน (รับบทโดย แอนนาเบล วอลลิส Annabelle Wallis) หญิงสาวท้องแก่ที่ต้องทนอยู่กับแฟนหนุ่มนิสัยเลวทรามและหลังจากเขาผลักเธอจนกระแทกกับข้างฝาในคืนนี้เองที่เธอต้องเผชิญภัยร้ายในรูปร่างปีศาจสีดำทะมึนบุกบ้านและฆ่าสามีของเธอรวมถึงลูกในท้องของเธอเองก็ไม่รอดจากเหตุการณ์นี้ คดีนี้เลยเป็นที่สนใจของนักสืบชอว์ (รับบทโดยจอร์จ ยัง George Young) ที่มุ่งพิสูจน์ความจริงเกี่ยวกับเหตุฆาตกรรมสามีของแมดดิสันและคนที่เกี่ยวข้องให้ได้ก่อนที่มันจะทำร้ายชีวิตคนที่เธอห่วงใยไปจนหมดสิ้น ต้องยอมรับว่าไอเดียตั้งต้นของหนังที่เจมส์ วานมีส่วนในการสร้างสรรค์นั้นน่าสนใจมากเมื่อมันถูกนำเสนอให้ชวนสงสัยว่าแท้จริงแล้วแกเบรียลเป็นปีศาจร้ายหรือแค่การสวมรอยของฆาตกร ซึ่งหนังก็หลอกล่อให้เราสงสัยและตีความไปต่าง ๆ นานาก่อนจะหักมุมได้ชวนอึ้งตามสไตล์หนังของเจมส์ วานรวมถึงการพยายามประสานรวมระหว่างตระกูลหนังสยองขวัญกับหนังแอ็กชันที่ทำให้ 20 นาทีสุดท้ายของหนังกลายเป็นช่วงที่มีทั้งแอ็กชันนองเลือดและความสยดสยองชวนแหวะถึงใจคอหนังสายโหด แต่กระนั้นเมื่อพิจารณาในองค์รวม ‘Malignant’ กลับสอบตกอย่างรุนแรงในแง่ของการเร้าอารมณ์คนดู เจมส์ […]

Nightbooks

เมื่อมองย้อนกลับไปที่ผลงานของผู้กำกับเดวิด เยโรเวสกี กับ Brightburn ที่ว่าด้วยเด็กจากนอกโลกที่มีพลังพิเศษเฉกเช่นซูเปอร์แมน แต่กลายเป็นว่ายิ่งเขาเริ่มเติมโตขึ้นวีรกรรมของเขาแทนที่จะคอยช่วยเหลือคนอื่น กลับกลายเป็นว่าเขาใช้พลังพิเศษในการเข่นฆ่าผู้คนในชุมชน ลามเลยไปถึงขั้นกลายเป็นภัยคุกคามคนในครอบครัว ซึ่งตลอดทั้งเรื่องผู้กำกับสามารถสร้างความหวาดระแวงให้กับผู้ชม เกิดความรู้สึกต่อตัวละครเด็กที่หน้าตาดูไร้พิษภัยให้กลายเป็นฆาตกรต่อเนื่องในทันที ด้วยความโดดเด่นของสไตล์การทำหนังสยองขวัญระทึกขวัญกับตัวละครเด็ก น่าจะเป็นโจทย์สำคัญที่เดวิด เยโรเวสกี เข้ามาควบคุมดูแลทิศทางของ Nightbooks ให้มีกลิ่นอายความน่ากลัวในระดับผู้ใหญ่ดูได้ เด็กไม่กลัวจนร้องจ๊าก เนื้อเรื่องว่าด้วยเด็กชายอย่างอเล็กซ์ โมเซอร์ (เฟกลีย์ วินสโลว์) เด็กชายสไตล์เนิร์ดสวมแว่นที่คลั่งไคล้นิยายสยองขวัญเข้าเส้น จนตัวเองสามารถแต่งเรื่องราวระทึกขวัญเป็นของตัวเอง แต่หลังจากที่เขาได้ยินพ่อแม่ทะเลาะกันเรื่องที่ตัวเองมีพฤติกรรมแต่งนิยายที่ดูจะไม่เหมาะสมกับวัย ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังเป็นตัวปัญหาของครอบครัว ส่งผลให้อเล็กซ์หมดความสุขที่จะเขียนหนังสือและตัดสินใจเอาผลงานของตัวเองทั้งหมดไปเผาทิ้ง ระหว่างกำลังกดลิฟต์ลงไปยันชั้นใต้ดินเพื่อเผาทำลายนิยายของตัวเอง ลิฟต์ตัวนี้ได้ไปหยุดจอดกลางทาง เขาก็พบว่าตัวเองถูกแม่มดนาตาชา (คริสเตน ริตเตอร์) ล่อลวงให้เข้าไปติดอยู่ในห้องพักของเธอ พร้อมกับตั้งกฎสุดโหดว่าหากอเล็กซ์ไม่แต่งเรื่องราวสยองขวัญมาเล่าให้เธอฟังทุกวัน เขาก็จะไม่มีประโยชน์อีกต่อไปและจะถูกกำจัดทิ้ง ในห้องพักของนาตาชาที่อยู่ในอพาร์ตเมนต์เดียวกันกับอเล็กซ์เอง แต่ด้วยเวทมนตร์ที่ถูกร่ายเอาไว้ทำให้สถานที่แห่งนี้ไร้ทางออก อเล็กซ์ยังได้พบกับยัสมิน (ลิเดีย จูเว็ตต์) เด็กหญิงผิวสีที่ถูกแม่มดนาตาชาจับตัวไว้เพื่อใช้แรงงาน ทั้งสองจึงต้องร่วมมือกันเพื่อหาทางรอดชีวิตและพยายามออกไปจากการถูกจองจำในครั้งนี้ให้ได้ นอกจากเรื่องราวการเอาตัวรอดของเด็กน้อยแล้ว สิ่งที่น่าสนใจในหนังเรื่องนี้คือการให้ความสำคัญกับตัวเอกของเรื่องที่หลงใหลในเรื่องราวของวรรณกรรมไม่ว่าจะเป็นหนังสือ ภาพยนตร์ หรือซีรีส์ ซึ่งเห็นได้จากองค์ประกอบแวดล้อมของตัวละครไม่ว่าจะเป็นโปสเตอร์ที่ผนังห้อง หรือพฤติกรรมในการสืบค้นข้อมูลของอเล็กซ์เอง เหล่านี้ทำให้ผู้ชมเห็นว่าความ “ใฝ่รู้” ในการหาข้อมูลเอาไว้ในคลังสมอง เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เด็กอย่างเขาสามารถเอาชีวิตรอดได้ในตอนท้าย ความชื่นชอบในเรื่องราวสยองขวัญของเด็ก ที่โดนมองว่าไม่ปกติ บางครั้งสิ่งที่พวกเขาอ่าน เสพย์ หรือหลงใหล ท้ายที่สุดแล้วสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่เพียงเป็นความบันเทิงไร้สาระ […]

KATE

สำหรับ ‘KATE’ ของผู้กำกับเซดริค นิโคลาส โทรยัน (Cedric Nicolas-Troyan) ที่เคยมีผลงานกำกับหนังใหญ่อย่าง ‘The Huntsman : Winter War’ เมื่อปี 2016 ก็แทบจะเดินตามรอยหนังแอ็กชันดัง ๆ ในอดีตตั้งแต่การให้ เคท (รับบทโดย แมรี เอลิซาเบธ วินสเตด – Mary Elizabeth Winstead) รับบทนักฆ่าที่ถูกเลี้ยงดูโดย วอร์ริก (รับบทโดย วูดดี ฮาเรลสัน) เพื่อรับงานสังหารโหดตามใบสั่งก็แทบจะตามรอย ‘La Femme Nikita’ ของเบซงอยู่แล้ว หนังยังให้เคตถูกวางยาพิษให้ตายใน 24 ชั่วโมงจนอดนึกถึง ‘Crank’ หนังคัลต์แอ็กชันปี 2006 ที่เจสัน สเตแธม (Jason Statham) แสดงไม่ได้ จนเหมือนบทหนังของ อูแมร์ อาลีม (Umair Aleem) แทบจะเป็นการรวมฮิตพลอตหนังแอ็กชันดังในอดีตมายัดไว้ในหนังเรื่องเดียวเพื่อเปิดทางให้ขายฉากบู๊สไตล์ ‘John […]

He’s All That

เด็กรุ่นใหม่ที่กรี๊ดกับแฟรนไชส์อย่าง The Kissing Booth และไตรภาค To All the Boys อาจจะเกิดไม่ทันหนังยุคปลาย 90 อย่าง She’s All That ที่จัดได้ว่าเป็นหนังรอมคอมที่ดังเป็นพลุแตก โดยเฉพาะเพลงประกอบภาพยนตร์อย่าง Kiss Me ของวง Sixpence None The Richer ซึ่งดังข้ามกาลเวลามาถึงยุคปัจจุบัน ส่วนนักแสดงนำของเรื่องในยุคนั้นอย่างเฟรดดี้ พรินซ์ จูเนียร์ และเรเชล ลีห์ คุ๊ก ถือว่าเป็นดาราวัยรุ่นในยุคนั้นที่ป๊อปปูลาร์มาก โดยเฉพาะฝ่ายชาย กลับมาที่ He’s All That บอกเล่าเรื่องราวของแพตเจต ซอว์เยอร์ (แอดดิสัน เร) อินฟลูแอนเซอร์คนดังในโลกโซเชียล ที่กำลังประสบปัญหาสติแตก หลังจากที่เธอพบว่าแฟนหนุ่มของตัวเองนอกใจไปคั่วกับแดนเซอร์ ความซวยคือระหว่างที่แพตเจตวีนแตกแฟนตัวเอง เพื่อนของเธอดันไลฟ์ออนไลน์จนทำให้ สปอนเซอร์รายใหญ่ถอนตัว แถมยอดฟอลโลเวอร์ยังตกฮวบอีกต่างหาก แพตเจตตัดสินใจรับคำท้าของอัลเดน (แมดดิสัน แพตติส) ว่าเธอจะต้องหาหนุ่มเห่ยในไฮสคูลมาชุบตัวใหม่ ปั้นเขาให้ดังจนกลายเป็น “คิง” ประจำงานพรอมให้ได้ และหวยก็ไปออกที่คาเมรอน (แทนเนอร์ บูแคนัน) หนุ่มจอมขวางโลกที่ดูไม่ชอบเข้าสังคมอย่างรุนแรง ทว่าหลังจากที่แพตเจตได้ลงไปคลุกคลีและสัมผัสกับคาเมรอน เธอกลับพบว่าภายใต้ความเห่ยและดูเซอร์สุดขั้วนี้ แท้ที่จริงแล้วเขาเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ มีจิตใจที่ดีงาม จนตัวเธอเองก็เกิดความหวั่นไหวทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้กับเขา สิ่งที่น่าสนใจใน He’s All That คือการหยิบเอาประเด็นเรื่องการสร้างตัวตนในโลกโซเชียลของแพตเจต […]

Disney’s Cruella

หลังจากเลื่อนกำหนดฉายโรงมาหลายรอบในที่สุดหนังไลฟ์แอ็กชั่นจากผลงานฮิตของดิสนีย์อย่าง Disney’s Cruella ก็ได้ฤกษ์มาลงสตรีมมิ่งทางดิสนีย์พลัสฮอตสตาร์ (Disney+Hotstar) แล้ว โดยวางกำหนดฉายเปิดตัววันที่ 3 กันยายน 2564 ซึ่งก็ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องของทางดิสนีย์ที่เลือกการฉายผ่านสตรีมมิ่งในช่วงภาวะโรคระบาดโควิด-19 (COVID-19) แบบนี้เพราะประกาศล่าสุดของทาง ศบค.เองก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะให้โรงภาพยนตร์เปิดให้บริการได้เมื่อไหร่ สำหรับใครที่เป็นสาวกดิสนีย์คงคุ้นเคยกับแอนิเมชั่นสุดน่ารักอย่าง ‘101 Dalmatians’ ที่ออกฉายตั้งแต่ปี 1961 และดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชั่นในปี1996 ซึ่งในทุกเวอร์ชั่นที่ผ่านมาเรามักให้ความสำคัญกับน้องหมาดัลเมเชียนแสนน่ารักและความตลกที่เกิดขึ้นจากความล้มเหลวของตัวร้ายอย่าง ครูเอลล่า เดอ วิล (Cruella De Ville) และลูกสมุนทั้งสองโดยไม่มีใครรู้เลยว่าเบื้องหลังความร้ายนี้มีที่มาสุดรันทดเพียงใด ซึ่งจากช่องว่างตรงนี้ก็ทำให้ดิสนีย์ได้ไอเดียสร้างหนังไลฟ์แอ็กชั่นจากตัวร้ายในคลังแอนิเมชันตัวเองจนเกิดเป็น ‘Disney’s Cruella’ นั่นเอง ลอนดอนยุค 70s ยุคแห่งความเปลี่ยนแปลงด้านแฟชัน เอสเตลลา (เอ็มมา สโตน-Emma Stone) หญิงสาวผมสองสีผู้สูญเสียแม่ตั้งแต่เด็กได้ออกลักเล็กขโมยน้อยทั่วเมืองกับสองเพื่อนซี้อย่างแจสเปอร์ (โจเอล ฟราย – Joel Fry) และฮอร์เรซ (พอล วอลเทอร์ เฮาเซอร์ Paul Walter Hauser)แม้ความฝันของเธอคือการได้เป็นดีไซน์เนอร์ก็ตาม แต่แล้วโชคชะตาของเธอก็ผลิกผันจนได้ร่วมงานกับบารอนเนส ฟอน เฮลแมน (เอ็มมา ธอมป์สัน […]

Netflix เตรียมแฉภารกิจมืดกลางกรุง กับผลงานซีรีส์ไทยเรื่องล่าสุด ‘Bangkok Breaking มหานครเมืองลวง’

กรุงเทพฯ, 26 สิงหาคม 2564 – Netflix ประกาศวันสตรีม ‘Bangkok Breaking มหานครเมืองลวง’ ซีรีส์สัญชาติไทยเรื่องล่าสุด ที่จะพาผู้ชมไปเสาะหาความจริงกับภารกิจมืดภายใต้เงาของคนดีในเมืองหลวง ที่คุณไม่มีวันรู้ ถ้าไม่ได้ก้าวเข้ามาสัมผัสด้วยตัวเอง พร้อมด้วยทัพนักแสดงมากฝีมือ  นำทีมโดย ‘เวียร์-ศุกลวัฒน์ คณารศ’ และ ‘ออม-สุชาร์ มานะยิ่ง’ ภายใต้การกำกับของ ‘ก้องเกียรติ โขมศิริ’ โดยมี ‘ปราบดา หยุ่น’ รับบทผู้จัดและผู้อำนวยการผลิต  พร้อมทั้งปล่อยทีเซอร์ให้ผู้ชมรอลุ้น ก่อนจะไปร่วมตีแผ่ความจริงพร้อมกันทั่วโลก 23 กันยายน นี้ ทาง Netflix เท่านั้น!Bangkok Breaking มหานครเมืองลวง เป็นซีรีส์แนวแอ็กชัน-ระทึกขวัญสัญชาติไทย ความยาว 6 ตอน  ที่นำเสนอภาพของกรุงเทพฯ ในมุมมองที่แตกต่าง ซึ่งจะทำให้ผู้ชมทั่วโลกได้ขบคิดและหาคำตอบให้กับตัวเอง ว่าแท้ที่จริงแล้วมหานครแห่งนี้เป็น ‘เมืองหลวง’ หรือ ‘เมืองลวง’ กันแน่ นอกเหนือจากเนื้อเรื่องที่เข้มข้นจนนับว่าเป็นอีกหนึ่ง Netflix Series ที่น่าจับตามองแล้ว โปรดักชันของซีรีส์เรื่องนี้ยังถือเป็นซีรีส์ไทยเรื่องแรกที่ถ่ายทำในระบบ […]

ไอเดียนำเสนอเล่น ๆ แต่กลายเป็นจริง หนังตำรวจคู่หูจับคู่ เดฟ เบาทิสตา กับ เจสัน โมมัว

เมื่อวันพุธที่แล้ว เดฟ เบาทิสตา ได้ทวีตแบบเช็กกระแสตอบรับจากแฟน ๆ ว่า “ผมมีเรื่องอยากจะนำเสนอแล้วลองดูนะว่าจะเกิดอะไรขึ้น คือแบบนี้…ผมกับโมมัวถ้ามาเจอกันในหนังตำรวจคู่หูแบบ Lethal Weapon แล้วให้ เดวิด ลีตช์ กำกับ โอเค แค่นี้แหละ ผมจะรอฟังนะ” จากทวีตนี้ แฟน ๆ ก็รู้แล้วล่ะว่าเบาทิสตาต้องการหยั่งเชิงดูกระแสตอบรับจากแฟน ๆ ว่าจะสนใจไอเดียที่เขานำเสนอหรือไม่ แต่ที่แฟน ๆ ไม่รู้เบื้องหลังก็คือ ก่อนที่เบาทิสตาจะทวีตข้อความนี้ เขาได้พูดคุยไอเดียนี้กับเจสัน โมมัว ไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม ที่ผ่านมานี่ เจสัน โมมัว ไปออกรายการ The Late Late Show ของพิธีกร เจมส์ คอร์เด็น (James Corden) เพื่อโปรโมต Sweet Girl ผลงานล่าสุดที่เพิ่งสตรีมมิงทาง Netflix ซึ่งคอร์ดอนก็ได้ถามถึงเรื่องที่เบาทิสตาได้ทวีตว่าอยากจะร่วมงานกับเขา พอโมมัวได้ฟังคำถามก็หัวเราะเสียงดังแล้วก็ตอบว่าตัวเขาและเบาทิสตาได้เดินหน้าไอเดียนี้กันแล้ว “ที่จริงเขาส่งข้อความมาหาผมเมื่อ 4 […]

Conjuring: The Devil Made Me Do It

หนังภาคที่ 3 นี้เป็นการย้ายมือจากผู้กำกับเดิมอย่าง เจมส์ วาน (James Wan) ที่ผันตัวไปเป็นโปรดิวเซอร์และมอบบังเหียนให้แก่ ไมเคิล ชาเวซ (Michael Chaves) ดาวรุ่งที่มีผลงานสยองขวัญก่อนหน้าอย่าง ‘The Curse of La Llorona’ (2019) ซึ่งวานก็เป็นโปรดิวเซอร์ให้ เรียกว่าเขาเป็นเด็กปั้นของวานเต็มตัวคนหนึ่งก็ว่าได้ และวานคงมองเห็นบางอย่างในตัวชาเวซถึงกล้ามอบภารกิจปิดไตรภาคแฟรนไชส์ที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งของเขาเองให้ชาเวซสานต่อ สิ่งที่อาจพูดได้ว่าชาเวซได้รับมาจากวานนั้นเป็นมากกว่าแค่โอกาสธรรมดา เพราะมรดกที่วานทำไว้ใน ‘The Conjuring’ ทั้งสองภาคก่อนหน้า ได้วางรากฐานพัฒนาการของคู่สามีภรรยาวอร์เรนมาอย่างดี เรารู้ความคิดจิตใจและความสัมพันธ์ระหว่างสองสามีภรรยาวอร์เรนมาดีมาก ผู้ชมพร้อมที่จะรักตัวละครนำทั้งคู่ตั้งแต่ก่อนดูหนังแล้ว ทำให้สามารถไปเน้นเรื่องราวความน่ากลัวที่ต้องเผชิญได้อย่างเต็มที่ เรียกว่าเบาภาระของชาเวซไปไม่น้อย แต่ดูเหมือนว่าชาเวซเองก็ติดกับดักของการแบกรับงานสำคัญอยู่ดี ทำให้เขาพยายามเติมนู่นนี่นั่นให้สมหน้าที่ผู้สานต่อมากเกินไป ถ้าให้นิยามคือเขาติดกับดักความเป็นหนังภาคที่ 3 ที่ต้องยิ่งใหญ่ที่สุดในไตรภาคไปอย่างน่าเสียดาย เมื่อมิติตัวละครนั่นหาที่สอดแทรกใหม่ ๆ ยากแล้ว ในภาคนี้ตัวเอ็ดจึงต้องประสบปัญหาโรคหัวใจเข้ามาเป็นอุปสรรคแทน เพราะเมื่อเอ็ดไม่สามารถดูแลลอร์เรนได้เต็มที่ ปีศาจร้ายก็เล่นงานภรรยาผู้มีสัมผัสพิเศษของเขาได้ง่ายขึ้น ในแง่หนึ่งก็เป็นการสร้างสถานการณ์บีบคั้นที่ดีเหมือนกัน แต่ที่ทำให้ทุกอย่างผิดเพี้ยนไปจากแฟรนไชส์เดิมค่อนข้างมาก น่าจะเป็นการเลือกศัตรูตัวใหม่ที่เป็นรูปลักษณ์ของผู้บูชาซาตาน และการอิงคดีฆาตกรรมที่โด่งดังมาก ๆ ในประวัติศาสตร์เรื่องเหนือธรรมชาติอเมริกาอย่าง ‘The Devil Made Me Do It’ […]

Sweet Girl

  ‘Sweet Girl’ ว่าด้วยเรื่องราวของ เรย์ คูเปอร์ (รับบทโดย เจสัน โมโมอา) คุณพ่อที่พยายามทุ่มแรงกายหาเงินมารักษาภรรยาของเขาที่ล้มป่วยอยู่ในโรงพยาบาล พร้อมกับคอยดูแล เรเชล คูเปอร์ (รับบทโดย อิซาเบลา เมอร์เซ็ด) ลูกสาวของเขาอย่างใกล้ชิด เมื่อภรรยาของเรย์ได้เสียชีวิตลง เขาก็เริ่มออกมาทวงหาความยุติธรรมจากบริษัทยายักษ์ใหญ่ ที่ดูเหมือนจะมีผลประโยชน์จากองค์กรอื่นแอบแฝงมาอีก ภาพจาก Netflix จากเนื้อเรื่องข้างต้น เป็นการปูพื้นให้ เจสัน โมโมอา ได้มีโอกาสแสดงศักยภาพในการเล่นบทดราม่าได้อย่างน่าชื่นชม แสดงออกถึงความสูญเสียได้อย่างน่าเห็นใจ กอปรกับสาวน้อย อิซาเบลา เมอร์เซ็ด ที่ถึงแม้ว่าจะยังคงความน่ารักสดใสอยู่เสมอ แต่แววตาของเธอสามารถสื่อถึงความเสียใจและความโกรธได้แทบจะตลอดทั้งเรื่อง อีกสิ่งที่น่าชื่นชมเอามากๆ คือการถ่ายภาพในสไตล์ Handheld ที่มีความสั่นไหวตลอดเวลา ของ แบร์รี แอครอยด์ ‘Barry Ackroyd’ ที่เคยกำกับภาพให้ภาพยนตร์ของ พอล กรีนกราส (Paul Greenglass) อย่าง ‘United 93’ (2006) และ ‘Captain Phillips’ (2013) […]

หลายชีวิตในอัฟกานิสถาน ผ่านหนัง 4

ทั่วโลกยังจับตามองสถานการณ์ในอัฟกานิสถาน หลังกลุ่มตาลีบันสามารถยึดประเทศได้จากรัฐบาลและกลายเป็นผู้ปกครองใหม่ ความซับซ้อนทางการเมืองและการช่วงชิงอำนาจ ทับซ้อนกับมิติทางการเมืองและศาสนา และนี่ไม่ใช่สิ่งใหม่ แต่หากเป็นปรากฏการณ์ที่เป็นมาไม่ต่ำกว่า 30 ปี ตั้งแต่กองทัพโซเวียตบุกอัฟกานิสถานเมื่อปี 1979 ตามมาด้วยการขับไล่และการเถลิงอำนาจรอบแรกของตาลีบัน นำมาซึ่งการที่สหรัฐส่งทหารเข้ามาบุกและตั้งตนเป็นผู้ยึดครองประเทศหลังเหตุการณ์ 9/11 ในปี 2001 ต่อเนื่องมาถึงสถานการณ์ปัจจุบันที่สหรัฐตัดสินใจถอนกำลังออก จนกระทั่งรัฐบาลอัฟกานิสถาน (ที่เคยได้รับการหนุนหลังจากสหรัฐ) พ่ายแพ้หมดรูปต่อตาลีบันอีกครั้ง ภาพยนตร์หลายเรื่องในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา ถ่ายทอดเรื่องราวของคนอัฟกานิสถาน ที่ต้องต่อสู้กับอำนาจนิยมหลากหลายรูปแบบ กับปีศาจร้ายที่มาทั้งในรูปของผู้ชายเคร่งศาสนาและชาติตะวันตกที่หวังเล่นการเมืองระดับโลกอยู่ตลอดเวลา ในที่นี้ขอแบ่งปันหนัง 4 เรื่องที่พูดถึงชะตากรรมของอัฟกานิสถานในแง่มุมต่างๆ กัน The Kite Runner ภาพยนตร์ (และนิยาย) เกี่ยวกับอัฟกานิสถานที่ทุกคนรู้จักกันดีที่สุดคือ The Kite Runner (2007) สร้างจากหนังสือของ คาเลด ฮอสเซนี และสร้างเป็นหนังโดย มาร์ค ฟอสเตอร์ เรื่องราวสะเทือนใจที่เล่าผ่านช่วงเวลาต่างๆ ในประวัติศาสตร์อัฟกานิสถานช่วง 30 ปีที่ผ่านมา เริ่มต้นด้วยเรื่องของเด็กชายสองคนที่เติบโตในในชนบทในช่วงเวลาที่โซเวียตกำลังจะบุกอัฟกานิสถาน ต่อเนื่องถึงอนาคตเมื่อหนึ่งในเด็กชายสองคนดังกล่าว เติบโตเป็นผู้ใหญ่และใช้ชีวิตเป็นนักเขียนอยู่ในอเมริกา ก่อนเขาจะเดินทางกลับมายังบ้านเกิดที่อัฟกานิสถานอีกครั้งในช่วงที่ตาลีบันครองอำนาจในในปลายทศวรรษ 1990 และต้องพบกับอดีตศัตรูสมัยเด็กที่ตอนนี้กลายเป็นขุนพลนักรบของตาลีบัน The Kite Runner เป็นหนังที่เล่าถึงชะตากรรม […]